นักลงเสียงโฆษณา รายได้หลักแสน “กฤตย” ดุดันไม่เกรงใจใคร ดังระดับโลก

“ดุดันไม่เกรงใจใคร…” นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักวลีเด็ดนี้! เสียงทรงพลังที่ทำให้โฆษณารถยนต์ Ford Ranger Raptor กลายเป็นไวรัลดังทั่วบ้านทั่วเมือง เจ้าของเสียงนี้คือ “กฤตย สุขวัฒก์” หรือ KRITTONE นักลงเสียงโฆษณาระดับโลก ที่ใช้เสียงสร้างเงินล้าน! วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกชีวิตของเขา ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนกลายเป็นนักลงเสียงโฆษณาชื่อดัง ที่สร้างรายได้หลักแสนต่อครั้ง!

เปิดใจ “กฤตย” นักลงเสียงโฆษณา ผู้สร้างไวรัลดังระดับโลก

จากเสียงพากย์สู่ไวรัลหลักล้าน

กฤตยใช้เสียงถ่ายทอดอารมณ์และจินตนาการสู่ผู้ฟัง จนเกิดกระแสฮิต มีคนทำคลิปเลียนแบบเสียงมากที่สุดในตอนนี้ ส่งให้วันนี้เขากลายเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการเสียง และทำให้แบรนด์รถดังกล่าวเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

และเมื่อโลกออนไลน์อย่างแอปพลิเคชันต่างๆ ได้เป็นเหมือนใบเบิกทางให้กฤตยได้กล้าออกมาเปิดตัวเอง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น ของการเข้าสู่วงการ TikTok มีคนติดตามกว่า 8 แสนคนของหนุ่มคนนี้

ซึ่งใครจะรู้ล่ะว่า ในเส้นทางชีวิตของนักลงเสียงโฆษณาไฟแรงผู้อยู่เบื้องหลังเสียงในโฆษณา 68 ประเทศทั่วโลก ก็มีชีวิตดุดัน ไม่ต่างจากเสียงที่เปล่งออกมาของเขาเลย

เบื้องหลังไวรัล “ดุดันไม่เกรงใจใคร”

“จะมีคนหนึ่งใน TikTok ชื่อว่า Bew and Pleng เขาชอบล้อเลียนผมอยู่แล้ว พอเขาทำวิดีโอของเขาขึ้นมา ว่าเขาเจอรถกระบะ และมีอีกคนหนึ่ง เขาก็จะพูดฟอร์ดเรนเจอร์แรปเตอร์กลางถนน

ผมก็เห็นอันนี้สองสามวิดีโอ ซึ่งตอนแรกคนจะใช้คำว่าวิดีโอที่ล้อเลียนผม ผมก็เลยทำวิดีโอหนึ่งที่เป็น Top วิดีโอที่ล้อเลียนผมมาด้วยกัน ผมก็เอา 2-3 วิดีโอที่ผมคิดว่าตลกที่สุด แล้วผมก็เขียนไปว่าผู้หญิงคนนี้เป็นโรคบริดจสโตน เพราะเขาเจอฟอร์ดที่ไหน เขาต้องพูดว่าดุดันไม่เกรงใจใครที่นั่น

ก็เลยมีคนทำต่ออีก ซึ่งตอนหลังจากคำว่าล้อเลียน มันกลายเป็นคำว่า cover จนมันเยอะ จนแบบคนไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหนด้วยซ้ำ

ผมก็เลยอัปโหลดคลิปที่ผมลงเสียงโฆษณาตัวนี้เดี่ยวๆ อีกทีหนึ่งใน TikTok จริงๆ คลิปนี้มีอยู่แล้ว ที่แฝงเอาไว้ในวิดีโอของผม เหมือนเป็นตัวอย่างว่าพอผมลงเสียงโฆษณาเป็นแบบนี้นะ แต่มันไม่มีเดี่ยวๆ ผมก็เลยอัปโหลดเดี่ยวๆ เลย

แล้ววันนั้น 3 ชั่วโมง ก็ได้ 3 ล้านวิวครับ เพราะหลายๆ คน คือไม่รู้เลยว่าที่คนไปตะโกนดุดัน เพื่ออะไร ก็เลยถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใจอยู่ ไม่ได้กะว่ามันจะมาถึงจุดนี้

หลายคนจะรู้จักผมจากจุดนั้น แต่ว่าจริงๆ คือก่อนหน้านั้นมันก็มีคนกลุ่มหนึ่งแล้วที่รู้ว่าผมทำอะไร แต่มันก็ดี เพราะมันจะทำให้ทุกคนรู้จักผม”

ด้วยความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งน้ำเสียงที่แข็งแรง กล้ามแขนหนักแน่นในเสื้อสีเขียวที่นั่งอยู่ตรงหน้าผู้สัมภาษณ์นั้น เรียกได้ว่าสร้างปรากฏการณ์ทำให้สังคมหันมาสนใจอาชีพขายเสียงมากยิ่งขึ้น

โปรโมทอาชีพนักลงเสียงให้เป็นที่รู้จัก

“ผมไปเดินมอเตอร์โชว์กับเพื่อนๆ นักแสดง 2-3 คน แต่กลายเป็นมีคนมาถ่ายรูปผม มากกว่ามาถ่ายรูปกับนักแสดงที่ไม่เคยเจอมาก่อน จำได้ว่าเดินได้มากสุดคือ 8 ก้าว ก่อนที่จะหยุดถ่ายรูปกับใคร

แล้วผมไปนครนายกมา 2 วันก่อน ไปถ่ายรายการ แค่ไปหยุดที่ปั๊มน้ำมันก็มีคนรู้จัก แล้ว พอไปในป่าเป็นโรงแรมเรา ที่เราไปตอน 5 ทุ่ม ตอนนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว มีแค่ 1 คนที่เอากุญแจมาให้เราตอนนั้น

เขาก็ทักว่าใช้ฟอร์ดเรนเจอร์ใช่เปล่า ทำให้เรารู้สึกว่าทุกคนรู้จักว่าผมเป็นใคร เขาอาจจะไม่ follow ผม แต่เขาก็รู้แล้วว่าคนนี้เป็นนักลงเสียง ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ดี เพราะก่อนหน้านั้นหลายคนจะไม่รู้จักว่านักลงเสียงคืออะไรด้วยซ้ำ

สิ่งที่ผมทำ ผมก็รู้สึกว่าผมโปรโมตอาชีพของผมไปในตัว มันไม่ได้เกี่ยวว่าโปรโมตตัวเอง เพราะผมมีงานเยอะอยู่แล้ว คือผมถือว่าผมไม่ได้พยายามโปรโมตตัวเองอยู่ ตอนที่เข้ามาใน TIKTOK คือผมต้องการโปรโมตสายอาชีพของผม

เพราะว่าในสายงานของผม ผมเชื่อว่าหลายคนรู้จักผมอยู่แล้ว แต่ผมต้องการให้คนทั่วไปรู้จักว่านักลงเสียงคืออะไร เพราะผมรู้สึกว่าในประเทศไทยนักลงเสียงพอไม่มีคนรู้จัก ก็จะไม่ค่อยมีคนเห็นว่าเราก็เป็นศิลปินเหมือนกัน”

ผลักดันเรื่องลิขสิทธิ์และค่าตอบแทนที่เป็นธรรม

“อย่างเรื่องราคา เรามีคำว่าลิขสิทธิ์ในภาษาไทย แต่ไม่เคยคุยเรื่องลิขสิทธิ์เลย จ่ายทีเดียวจบหายไปเลย อย่างเช่นคนที่อยู่หน้ากล้อง เมืองไทยจะมีคำว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังแต่ไม่รู้ว่ามีเพราะอะไร แต่ถ้าคุณเป็นพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณาคุณก็จะได้เงินค่อนข้างจะเยอะ

แล้วก็จะใช้ 1 ปี-2 ปี ก็จะมีการคุยกัน แต่สำหรับงานลงเสียง ไม่มีใครคุยกันเลยว่าต้องใช้ระยะขนาดไหน จะใช้กี่ประเทศ ผมก็อยากให้คนเห็นว่าเราก็เป็นศิลปินเหมือนกัน ก็ช่วยทำอะไรให้มันยุติธรรมหน่อย”

เส้นทางสู่ “นักลงเสียงโฆษณา” ระดับโลก

จากเด็กฝึกงานสู่มืออาชีพ

แล้วอะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจก้าวเข้าสู่เส้นทางลงเสียงโฆษณามากว่า 12 ปี คงไม่ใช่เหตุผลแค่เพียงชอบแน่ๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมาเอาดีด้านการขายเสียง ทว่า สิ่งที่เซอร์ไพร์สเราเข้าไปอีก คือการที่ได้รู้ว่าแรงบันดาลใจ เกิดขึ้นจากการเข้าไปฝึกงาน

“ตอนนั้นฝึกงานอยู่ แล้วพี่ที่ฝึกงาน ชื่อว่าพี่จีจี้ที่เขาดูแลเรา เขาให้ลองลงเสียง แต่กลายเป็นว่าผมไปลงเสียงงานที่เขาเอาไป pitch เสียงโฆษณาพอดี

แล้วลูกค้าคือ ปตท. เขาบอกว่าอยากได้เสียงเดิมที่คุณ pitch โฆษณามา อยากได้เสียงนั้นเลย ก็เลยได้ไปลงเสียงจริงครับ ตอนนั้นพอไปลงเสียงจำได้ว่า 5-6 คำ ได้ 2 หมื่นบาท ผมก็เลยมองว่านั่นเป็นงานของเรา

คือ ต้องบอกว่าตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ไม่ทราบว่าตัวเองอยากจะทำอะไร แค่ทราบว่าไม่อยากทำงานอยู่ในออฟฟิศ

ถามว่าเคยไหม ก็เคย เคยไปทำทีหนึ่ง ไปทำงานแล้วไปกินข้าวเที่ยงที่ตลาด แล้วกลับมาทำงานต่อ อันนี้ก็เคยลองแล้วมันไม่ใช่สไตล์ของเราเอง ก็เลยคิดว่าเป็นงานอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่อยู่ในออฟฟิศ ซึ่งงานนี้ผมก็ไม่ได้อยู่ในออฟฟิศ อยู่ในสตูดิโอแทน”

เอกลักษณ์ที่โดดเด่น

แน่นอนว่า โอกาสคงไม่เข้ามาหาถ้าไม่เปิดช่องไว้ ตอนนั้นทำให้เขาได้รับโอกาสจากลูกค้าในบริษัทที่เข้าไปฝึกงาน ซึ่งเมื่อถามกฤตยถึงเอกลักษณ์ตัวตน ที่สร้างอรรถรสผ่านเสียงพากย์จนทำให้ได้รับงานพากย์มานี้คืออะไร และในบรรทัดต่อจากนี้คือคำตอบของเขา ที่เปรยออกมาอย่างตรงไปตรงมา

“ในคาแรกเตอร์ของผมจะได้ลงเสียงผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างจะแมนๆ ดังนั้นจะมาทางพวกรถที่เป็นกระบะ แล้วตัวฟอร์ดเป็นกระบะที่ถือว่า hi-end ที่สุดในรถกระบะต่างๆ ราคาก็แพงตามนั้นด้วย ก่อนหน้านี้ก็มี 2-3 คน ที่เราคุยโทรศัพท์ด้วย แล้วเขาบอกว่าเสียงดีนะ หรือว่าตอนที่เราอยู่มหาวิทยาลัย แล้วเราพรีเซ็นต์งานหน้าห้อง มีคนบอกว่าเสียงมึงเท่นะ แต่มันก็แค่นั้น มันก็แค่คน 2 คน สุดท้ายเราจะคิดว่าเสียงเราเท่ดีหรือไม่ดี มันพูดยาก เพราะว่าเสียงของเราเป็นเสียงที่ได้ยินทุกวัน มันเป็นเสียงที่น่าเบื่อที่สุด ดีไม่ดีมันขึ้นอยู่กับลูกค้า ขึ้นกับคนฟัง”

อุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน

  • โรคภูมิแพ้:
    • กฤตยเผชิญกับโรคภูมิแพ้มาตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำงานที่ต้องใช้เสียงและลมหายใจ
    • อาการภูมิแพ้ทำให้หลอดลมตีบ หายใจลำบาก ส่งผลต่อการทำงานที่ต้องใช้พลังเสียง
    • ต้องฉีดยากระตุ้นภูมิแพ้เป็นประจำ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทรมานและส่งผลต่อร่างกาย
    • การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มี PM 2.5 หรืออากาศไม่ดี ยิ่งทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบ
  • ความไม่แน่นอนของงาน:
    • ในช่วงแรกของการทำงาน กฤตยมีงานน้อย ทำให้รายได้ไม่แน่นอน
    • การสร้างชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงการนักลงเสียงต้องใช้เวลานาน
    • การแข่งขันในวงการนักลงเสียงสูง โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ
    • การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและแนวโน้มของอุตสาหกรรมโฆษณา ส่งผลต่อความต้องการนักลงเสียง
  • การยอมรับในอาชีพ:
    • ในอดีต อาชีพนักลงเสียงไม่ได้รับการยอมรับและให้ความสำคัญเท่าที่ควร
    • นักลงเสียงมักถูกมองข้าม ไม่ได้รับเครดิตในผลงานโฆษณา
    • การเรียกร้องค่าตอบแทนและลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรมเป็นเรื่องยาก
  • ปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ:
    • การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานทำให้เกิดไมเกรนและอาการบ้านหมุน

แรงผลักดันที่สำคัญ

  • ความรักในงาน:
    • กฤตยมีความรักและความหลงใหลในงานลงเสียง ทำให้เขามุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
    • เขามองว่างานลงเสียงเป็นศิลปะที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และสร้างสรรค์ผลงานที่น่าจดจำ
  • ครอบครัว:
    • ครอบครัวเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้กฤตยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
    • เขาต้องการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวและดูแลคนที่เขารัก
    • แม่และยายของกฤตยเป็นแรงผลักดันที่สำคัญ
  • ความต้องการพัฒนาอาชีพ:
    • กฤตยต้องการยกระดับอาชีพนักลงเสียงให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงกว้าง
    • เขาต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการนักลงเสียงในประเทศไทย
    • ความต้องการผลักดันเรื่องลิขสิทธิ์ของนักลงเสียงให้เป็นที่ยอมรับ
  • การช่วยเหลือผู้อื่น:
    • กฤตยต้องการแบ่งปันความรู้และโอกาสให้กับผู้ที่สนใจในอาชีพนักลงเสียง
    • เขาต้องการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนและต้องการสร้างรายได้เสริม
    • เขามีความต้องการที่จะสร้างรายได้ให้ผู้ที่ดูแลผู้ป่วยติดเตียงและผู้ที่ต้องการหารายได้เสริม

บทเรียนจาก “กฤตย”

การช่วยเหลือผู้อื่นและการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมเป็นสิ่งที่ควรทำ

อุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่เราสามารถก้าวข้ามมันไปได้ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ ความรักในงานและแรงผลักดันจากครอบครัวเป็นพลังสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ รวมทั้งการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอและการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญในอาชีพนักลงเสียง

ไทย VS ต่างประเทศ: ความแตกต่างในโลกของ “นักลงเสียงโฆษณา”

เบื้องหลังที่ต่างกัน

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่ากฤตยเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญของงานโฆษณาอีก 68 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการตีโจทย์ และการสื่อสารผ่าน “เสียง” ของไทยและต่างประเทศมีความแตกต่างกัน

“ในต่างประเทศจะต้องออดิชันเพื่อได้งาน เพราะการแข่งขันมันสูง บางทีเราไม่ได้รับโอกาสที่จะออดิชันด้วย ถ้าเราไม่ได้อยู่เอเยนซีตัว Top

ผมอยู่กับบริษัทเอเยนซีใน LA มันก็จะมี Trailer หนัง หรือเกมที่เขาจะส่งมา เขาจะเลือกคนที่เขาคิดว่าน่าจะเหมาะกับตรงนี้ ดังนั้นหัวหน้าเอเยนซีต้องเลือกเราก่อน

อย่างล่าสุดผมต้องไปลงเสียงออดิชันให้เกมยิงปืนอันหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะดังมาก ลงเสียงไปก็จะมีรอบแรก รอบสอง เขาก็จะมาบอกว่าเราติด Top 5 หรือเปล่า กี่หมื่นเหรียญก็ว่าไป

มันมีการออดิชันเยอะกว่า เป็นการทำงานฟรีบ่อยกว่า แล้วงานก็จะได้น้อยกว่า จะได้งาน 1-2 ต่อเดือน แต่ได้ทีละเป็นแสนๆ

แต่กลับของไทยเราอาจจะได้น้อยกว่า แต่ทุกครั้งที่เราเข้าสตูดิโอ มันคือเป็นการทำงานที่เราได้เงิน ได้ค่าตอบแทน มันก็มีข้อดีข้อเสียของมันครับ

สำหรับผมถึงแม้ค่าตอบแทนในประเทศไทยค่อนข้างจะน้อยกว่า ความเครียดมันก็จะน้อยกว่าด้วย เพราะว่าถ้าเราออดิชันไป 100 ครั้งต่อเดือน แล้วเราได้แค่ 1-2 งาน มันคือการเฟลซ้ำๆ แล้วไม่เฟลทีหนึ่ง มันก็จะเป็นความเฟลทุกวัน เลยมองว่าแบบนี้ก็โอเค

ในเมืองไทยเราไม่ต้องแคส เพราะว่าโฆษณาเขาจะเลือกจากตัวอย่างงานของเรา ซึ่งผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่า การแคสติ้งมันต้องใช้เวลา บางทีใช้เวลา 10 ครั้งต่อวัน เหมือนเราทำงานฟรี

แต่ในเมืองไทยลูกค้าเลือกตัวอย่างของเรา มันหมายความว่าเราไม่มีอะไรที่จะทำได้เลย ที่จะไปดีกว่าคนอื่น หรือแข่งกับคนอื่น

เพราะไม่ใช่เรา 2 คน นั่งอ่านสคริปต์อันเดียวกัน แล้วใครออกมาดีกว่า อันนี้คือการแข่งขัน รูปแบบนั้นถือว่ามีคู่แข่ง แต่ส่วนนี้มีคนมาดูตัวอย่างเสียง แล้วก็เลือกเอาไปเลย มันขึ้นอยู่กับโชค”

รายได้และความแตกต่าง

นอกจากเรื่องเงินที่แตกต่างในมูลค่า อีกทั้งในต่างประเทศจะให้ความสำคัญในงานตัวศิลปิน เรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ในอาชีพนี้คือ การลงเสียงโฆษณานั้นจะไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน เพราะการผลิตโฆษณาสักตัวนั้นจะค่อนข้างเป็นความลับ จึงทำให้ไม่สามารถรู้สคริปต์ได้ก่อนวันอัด

“ถ้าเป็นเมืองไทย เอเยนซีเขาจะติดต่อห้องเสียงสตูดิโอ แล้วขอตัวอย่างทุกครั้งก่อนที่เขาจะทำโฆษณา เพราะฉะนั้นสตูดิโอก็จะทำงานเหมือนเป็นโมเดลลิ่งให้เราไปด้วย สตูดิโอเขาอัดเสียง และเป็นเหมือนโมเดลลิ่งด้วย

ถ้าเรารู้จักกับสตูดิโอหลายๆ ที่ มันก็เหมือนเรามีโมเดลลิ่งหลายๆ ที่ ที่รอ present เราอยู่ ถ้าเป็นของต่างประเทศ คือเอเยนซีคือเอเยนซี สตูดิโอคือสตูดิโอ ดังนั้นเอเยนซีก็จะพยายามคุยราคาให้เราดีที่สุด แล้วเขาก็จะเก็บเปอร์เซ็นต์ไปเลย ส่วนเมืองไทยเขาจะไม่มีมายุ่งกับรายได้ที่เราได้

ในเมืองไทยถ้าเป็นการลงเสียงเราคุยกันเป็นหลักหมื่น แต่ถ้าเป็นอเมริกาก็คุยเป็นหลักหมื่นเหมือนกัน แต่เป็นหมื่นเหรียญ มันแตกต่างกว่า 30 เท่าเลย

รายได้มันพูดยาก บางวันจะเป็น 80,000-90,000 บาท แต่ถ้าแสนหนงก็จะเหนื่อยหน่อยแต่ก็มี บางงาน 1 แสนกว่าก็มี

บทสรุปส่งท้าย: “กฤตย” แรงบันดาลใจแห่งวงการ “นักลงเสียงโฆษณา”

จากเด็กฝึกงานที่ไม่มีใครรู้จัก สู่นักลงเสียงโฆษณาระดับโลก “กฤตย” พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความสำเร็จไม่ได้มาจากการมีพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความมุ่งมั่น ตั้งใจ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค

เรื่องราวของ “กฤตย” เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักลงเสียงโฆษณาว่า อาชีพนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนที่มีเสียงดีเท่านั้น แต่ทุกคนสามารถก้าวเข้าสู่วงการนี้ได้ หากมีความรักในงานและพร้อมที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

บทเรียนจาก “กฤตย”

  • โอกาสมาพร้อมความพยายาม: “กฤตย” เริ่มต้นจากศูนย์ แต่ด้วยความตั้งใจและไม่ย่อท้อ ทำให้เขาได้รับโอกาสและสร้างชื่อเสียงในระดับโลก
  • เอกลักษณ์คือจุดแข็ง: เสียงที่เป็นเอกลักษณ์และสไตล์การทำงานที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ “กฤตย” โดดเด่นและเป็นที่ต้องการของลูกค้า
  • การพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง: “กฤตย” ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะของตัวเอง ทำให้เขาก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม
  • การให้โอกาสผู้อื่น: “กฤตย” ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในอาชีพ แต่ยังแบ่งปันความรู้และโอกาสให้กับผู้อื่นที่สนใจในอาชีพนักลงเสียง
  • การสร้างชื่อเสียงในช่องทางออนไลน์: การใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ ทำให้คนได้รู้จักตัวตนของกฤตยมากขึ้น และทำให้เกิดกระแสไวรัลที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจอาชีพ “นักลงเสียงโฆษณา”

  • ฝึกฝนการใช้เสียงและพัฒนาทักษะการแสดงอารมณ์
  • สร้างผลงานและทำเดโมเสียงเพื่อนำเสนอตัวเอง
  • สร้างเครือข่ายและเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์
  • เปิดรับโอกาสและพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
  • ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ในการสร้างตัวตน

“กฤตย” เป็นตัวอย่างของคนที่กล้าที่จะแตกต่างและสร้างสรรค์ผลงานที่น่าจดจำ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เสียงเพียงอย่างเดียวสามารถสร้างรายได้หลักแสนและสร้างชื่อเสียงระดับโลกได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *